จังหวัดน่าน มีพื้นที่ 11,472,076 ตารางกิโลเมตร ภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นภูเขาสูงซึ่งวางตัวในแนวเหนือ-ใต้ล้อมรอบจังหวัด ซึ่งในบริเวณชายแดนด้านเหนือและตะวันออกจะเป็นรอยต่อกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ส่วนในบริเวณพื้นราบจะอยู่ตอนกลางของจังหวัด



คำขวัญจังหวัด 
แข่งเรือลือเลื่อง เมืองงาช้างดำ จิตรกรรมวัดภูมินทร์ แดนดินส้มสีทอง เรืองรองพระธาตุแช่แห้ง


ประวัติความเป็นมา 
    ตามพงศาวดาร มีชื่อเรียกว่า นันทบุรี ซึ่งเป็นนครรัฐเล็กๆก่อตัวขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ 18 ซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณราบลุ่มแม่น้ำน่านและแม่น้ำสาขาในหุบเขาซึ่งตั้งอยู่ระหว่างเทือกเขาหลวงพระบางและเทือกเขาผีปันน้ำ
    ประวัติศาสตร์เมืองน่านเริ่มปรากฏขึ้นราว พ.ศ.1825 พญาภูคาและนางพญาจำปาผู้เป็นชายา ซึ่งทั้งสองเป็นชาวเมืองเงินยาง ซึ่งเป็นแกนนำพาผู้คนอพยพมาตั้งถิ่นฐานที่เมืองล่างหรือเมืองย่าง (ซึ่งเชื่อกันว่าคือบริเวณราบลุ่มแม่น้ำย่างตำบลศิลาเพชร เขตอำเภอปัว  เขตตำบลยม เขตอำเภอท่าวังผา) เพราะมีร่องรอยหลักฐาน คูน้ำ คันดิน กำแพงเมือง เห็นได้ชัดเจนคือ บริเวณพระธาตุจอมพริก ต่อมาพระยาภูคาได้ส่งราชบุตร ไปสร้างเมืองเพื่อขยายอาณาเขตการปกครอง ได้แก่ขุ่นนุ่นผู้สร้างเมืองจันทบุรีหรือเมืองพระบาง และขุนฟองผู้เป็นน้องสร้างเมืองปัวหรือวรนคร 

    หลังจากขุนฟองถึงแก่พิลาลัย เจ้าเก้าเถื่อนราชบุตรได้ขึ้นครองเมืองปัวแทน และต่อมาพญาภูคาถึงแก่พิราลัยเจ้าเก้าเถื่อนจึงไปอยู่ที่เมืองย่างและให้นางพญาแม่ท้าวคำปินผู้เป็นชายาดูแลเมืองปัวแทน ในช่วงเมืองปัวไร้ผู้นำ พญางำเมืองเจ้าเมืองพะเยาได้ขยายอาณาเขตเข้าครอบครองบ้านเมืองน่านทั้งหมด
นางพญาแม่ท้าวคำปินพร้อมบุตรได้หลบหนีไปอยู่บ้านห้วยแล้ง จนคลอดบุตรชายนามว่า เจ้าขุนใส เติบโตได้เป็นขุนนางรับใช้พญางำเมือง ซึ่งเป็นที่โปรดปรานจนสถาปนาให้เป็นเจ้าขุนใสยศ ครองเมืองปราด ภายหลังได้รวบรวมกำลังพลเข้าต่อสู้จนหลุดพ้นจากอำนาจเมืองพะเยา และได้สถาปนาพญาผานองขึ้นครองเมืองปัวอย่างอิสระในปี พ.ศ.1865 ถึง 1894 
    ในสมัยพญากรานเมือง โอรสของพญาผานองเมืองปัวได้ขยายตัวมากขึ้น ตลอดจนมีความสุมพันธ์กับสุโขทัยอย่างใกล้ชิด ได้รับเชิญจากพระยาลิไทไปร่วมสร้างวัดหลวงอภัย(วัดอัมพวนาราม) ขากลับได้รับพระราชทานพระธาตุ  พระพิมพ์ทองคำ พระพิมพ์เงิน จำนวนหนึ่งจากเจ้าเมืองสุโขทัย และต่อมาได้นำมาก่อสร้างเป็นพระธาตุแช่แห้ง ที่บนภูเพียงแช่แห้ง พร้อมได้อพยพผู้คนจากเมืองปัวลงมาสร้างเมืองใหม่ที่บริเวณ พระธาตุแช่แห้ง(ในการอพยพใช้วิธีการ ล่องแพไหลตามแม่น้ำน่าน ระหว่างการอพยพผู้คนเบื่อหน่ายจึงมีการตีกลองร้องเพลงก็คือที่มาของ ซอล่องน่าน นั้นเอง 
หลังจากพญากรานเมืองถึงแก่พิลาลัย พญาผากองผู้เป็นโอรสขึ้นครองเมือง ได้เกิดปัญหาความแห้งแล้ง จึงได้ย้ายเมืองมาสร้างใหม่ตรงบริเวณทิศตะวันตกริมแม่น้ำน่านบ้านห้วยไค้ คือบริเวณเมืองน่านในปัจจุบันนั้นเอง
    พ.ศ.1993 พระเจ้าติโลกราชเจ้าเมืองนครเชียงใหม่ ยกทัพเข้าตีเมืองน่าน เพราะต้องการแหล่งเกลือซึ่งเป็นของหายากในภาคเหนือ พญาอินต๊ะแก่นท้าว พ่ายแพ้จึงอพยมหนีไปอาศัย อยู่ที่เมืองเชลียง(ศรีสัชนาลัย) เมืองน่านจึงถูกผนวกเข้ากับอาณาจักรล้านนาตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา
ในปี พ.ศ.2103 ถึง 2328 น่านได้ตกเป็นเมืองขึ้นของพม่าอยู่หลายครา จึงกลายเป็นเมืองร้างคนถึงสองครั้งในปี พ.ศ.2247 ถึง 2249 และในปีพ.ศ.2321 ถึง 2344
    พ.ศ.2331 สมัยเจ้าอัตถวรปัญโญได้ซ่อมแซมเมืองน่านเพราะร้างอยู่นาน และได้ลงเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชเพื่อขอเป็นข้าขอบขัณฑสีมา ดังนั้นเมืองน่านจึงมีฐานะเป็นหัวเมืองประเทศราชของกรุงรัตนโกสินทร์ ในปี พ.ศ.2344
    ต่อมา พ.ศ.2446 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้มีพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาให้เจ้าสุริยพงษ์ผลิตเดช เลื่อนยศฐานันดรศักดิ์เป็น พระเจ้านครน่าน ท่านได้สร้างหอคำ(คุ้มหลวง)และมีข่วงเมืองทำหน้าที่คล้ายกับสนามหลวง ต่อมาเจ้ามหาพรหมสุรธาดาเจ้าผู้ครองนครน่านถึงแก่พิราลัยในปี พ.ศ.2474 ตำแหน่งเจ้าผู้ครองนครถูกยุบเลิกตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาหอคำได้กลายเป็นศาลากลางจังหวัดจนถึงปี พ.ศ.2511 ได้มอบให้กรมศิลปากร ใช้เป็นพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติน่านจนถึงปัจจุบันนี้